ประเด็นร้อน

เปิดคำแถลง ยิ่งลักษณ์ ปิดคดีจำนำข้าว

โดย ACT โพสเมื่อ Aug 04,2017

  - - สำนักข่าว สยามรัฐ  วันที่ 04/08/60 - -

             หมายเหตุ : น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะจำเลย แถลงปิดคดีด้วยวาจา ในคดีรับจำนำข้าว ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว จนทำให้รัฐเสียหาย มีรายละเอียดดังนี้

 

             “ดิฉันขอกราบขอบพระคุณองค์คณะผู้พิพากษา ที่อนุญาตให้ดิฉันแถลงปิดคดีด้วยตนเองในวันนี้ เพิ่มเติมจากคำแถลงการณ์ปิดคดีเป็นลายลักษณ์อักษร ดิฉันขอใช้โอกาสนี้ กล่าวกับทุกท่านอย่างหมดใจในวันนี้ ในเรื่องที่ดิฉันถูกดำเนินคดีโดยไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรมและตลอดเวลาที่ดิฉันได้นั่งรับฟังการพิจารณาคดีนี้ นับตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2559 และสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2560 รวมการไต่สวนของศาลในคดีนี้ทั้งหมด 26 นัด เป็นเวลา 1 ปี 6 เดือนที่ดิฉันไม่เคยขาดนัดพิจารณาคดีของศาลแม้แต่สักครั้งเดียว ทั้งนี้เพราะดิฉันมั่นใจในความบริสุทธิ์ว่าไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหาที่มีต่อดิฉัน

 

             ด้วยความเคารพต่อทุกท่านที่เป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนี้ หากมีถ้อยคำใดที่ดิฉันเปิดใจกล่าวอย่างตรงไปตรงมานั้น ดิฉันไม่ได้มีเจตนาอื่นใดและไม่ได้ประสงค์จะใส่ร้ายหรือใส่ความผู้ใด ดิฉันเพียงต้องการให้การพิพากษาคดีที่ดิฉันถูกกล่าวหาในครั้งนี้เป็นไปโดยถูกต้อง เที่ยงธรรม ตามรัฐธรรมนูญกฎหมาย ภายใต้หลักนิติธรรมที่ดิฉันไม่เคยได้รับจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. และโจทก์ในคดีนี้มาก่อนดิฉันขอเรียนแก้ข้อกล่าวหา ในเรื่องสำคัญ 6 เรื่อง ตามลำดับ ดังนี้

 

เรื่องที่ 1.กรณีถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม และไม่ชอบด้วยกฎหมาย

แม้ดิฉันจบการศึกษาทางรัฐศาสตร์ แต่ดิฉันได้มีโอกาสรับรู้คำกล่าวของศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ อดีตประธานศาลฎีกาและอดีตประธานองคมนตรีที่ได้กล่าวไว้ว่า “ตำรวจเปรียบประหนึ่งต้นกระแสธารแห่งความยุติธรรม อัยการเป็นกลางน้ำ ศาลเป็นปลายน้ำ ต้นน้ำจึงต้องใสสะอาด จึงจะทำให้ปลายน้ำใสสะอาดตาม หากต้นน้ำขุ่นมัวเสียแล้วปลายน้ำก็จะขุ่นมัวตาม ราษฎรก็จะไม่ได้รับความยุติธรรม

 

คดีนี้ มีข้อพิรุธมากมาย ตั้งแต่ชั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชั้นก่อนโจทก์ฟ้องคดี ชั้นฟ้องคดีและไต่สวนในศาล โดยชั้นกล่าวหาและชี้มูลความผิดโดย ป.ป.ช. ซึ่งเป็นต้นน้ำ มีการเร่งรีบรวบรัดชี้มูลความผิด ทั้งๆ ที่ข้อกล่าวหาต่อบุคคลอื่นในเรื่องทุจริตการระบายข้าวซึ่งเป็นระดับปฏิบัติการยังไม่มีข้อสรุป และเรื่องดังกล่าว ป.ป.ช. ยืนยันตลอดมาว่าไม่เกี่ยวข้องกับดิฉัน

 

ขณะที่ ป.ป.ช. เริ่มต้นกล่าวหาดิฉันด้วยพยานเอกสารเพียง 329 แผ่น ใช้เวลาไต่สวนเพียง 79 วัน และชี้มูลความผิดดิฉันหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ดิฉันพ้นจากตำแหน่งเพียง 1 วัน และก่อนที่อัยการโจทก์จะฟ้องคดี อัยการสูงสุดเห็นว่า รายงาน ป.ป.ช. มีข้อไม่สมบูรณ์เพียงพอที่จะดำเนินคดีกับดิฉันได้

ในประเด็นนายกรัฐมนตรี ประธาน กขช. จะยับยั้งหรือยกเลิกโครงการที่เป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภาตามกฎหมายได้หรือไม่อย่างไร, การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่, ประเด็นการทุจริต กับเรื่องความเสียหายในคดีนี้ ดังนั้น ทุกประเด็นล้วนแต่มีข้อไม่สมบูรณ์ และไม่มีพยานหลักฐานพอที่จะดำเนินคดีได้ แต่สุดท้ายก็มีการตัดสินใจฟ้องทั้งๆ ที่ไม่มีการรวบรวมพยานหลักฐานตามที่อัยการสูงสุดแจ้งข้อไม่สมบูรณ์ โดยวันที่ 3 กันยายน 2557 มีการตั้งคณะทำงานร่วมฝ่ายอัยการกับ ป.ป.ช. ซึ่งคณะทำงานร่วมนั้นก็มิได้

 

ดำเนินการใด ๆ ตามที่แจ้งข้อไม่สมบูรณ์ แต่แล้วในวันที่23 มกราคม 2558 อัยการกลับแถลงว่าจะฟ้องคดีก่อนที่ สนช. จะลงมติถอดถอนดิฉันเพียง 1 ชั่วโมง ซึ่งทำให้สังคมตั้งคำถามว่า การแถลงข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นการดำเนินการเพื่อชี้นำการลงมติถอดถอนดิฉันหรือไม่ แล้วเมื่อถึงชั้นฟ้องคดีและไต่สวนในศาล อนุกรรมการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือของรัฐ เรื่องการเสื่อมสภาพของข้าว ที่เกิดขึ้นภายหลังฟ้องคดี โดยมีการจัดระดับเกรดข้าวเป็น เกรด A B C เพื่อดำเนินการระบายข้าวโดยไม่เคยมีมาตรฐานที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดไว้ และไม่เคยมีรัฐบาลใดตั้งแต่ตั้งกระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการเช่นนี้มาก่อน

ดิฉันจึงขอตั้งข้อสังเกตว่าการจัดระดับคุณภาพข้าวดังกล่าวเป็นการสร้างเรื่อง และสร้างพยานหลักฐานขึ้นใหม่ จงใจให้เห็นว่าโครงการรับจำนำข้าวไม่มีมาตรการที่เหมาะสมในการรักษาข้าวในสต็อกของรัฐเพื่อเอาผิดกับดิฉัน

 

ทั้งในคดีนี้และคดีเรียกค่าเสียหายในทางแพ่งต่อดิฉัน ซึ่งเรื่องการจัดคุณภาพข้าวโดยจัดระดับเกรด A B C เพื่อการระบายข้าวนั้น ก็มีพยานหลักฐานสำคัญว่า ผิดพลาด ล้มเหลว และเกิดความเสียหาย จนทำให้หัวหน้า คสช. ในฐานะประธานกรรมการ นบข. เสนอให้ยกเลิกการระบายข้าวในสต็อกของรัฐแบบแบ่งเกรดกลับมาใช้วิธีการประมูลข้าวแบบขายยกคลัง เช่น ที่รัฐบาลดิฉันและทุกรัฐบาลเคยดำเนินการมา ปรากฏตามรายงานการประชุม นบข. ครั้งที่ 1/2559 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2559

 

ขณะที่ความผิดพลาดนั้นยังนำมาสู่ปัญหาจากข่าวในขณะนี้ว่ามีการนำข้าวดีที่คนยังบริโภคได้ไปประมูลขายเข้าสู่อุตสาหกรรมเป็นอาหารสัตว์ ตามที่ดิฉันได้เคยร้องขอต่อศาลให้เผชิญสืบในเรื่องนี้แล้ว อีกทั้งการฟ้องของโจทก์ยังเป็นการฟ้องนอกสำนวน ป.ป.ช.โดยฟ้องดิฉันก่อนแล้วค่อยสร้างพยานหลักฐานเพิ่มเติมในภายหลัง ที่ไม่ปรากฏว่า ป.ป.ช. ได้ไต่สวนไว้ในรายงาน

 

ดังนั้น ดิฉันจึงขอความเมตตาที่ศาลจะไม่รับฟังผลการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าว ที่โจทก์อ้างเป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติมภายหลังนอกเหนือจากสำนวน ป.ป.ช. ด้วย ซึ่งเริ่มจากการชี้มูลความผิด และการฟ้องคดีของโจทก์ด้วยเอกสารเพียงไม่กี่ร้อยแผ่นในคดีของดิฉันกลับมีเอกสารที่โจทก์นำมาเพิ่มขึ้นใหม่ในชั้นศาลถึง 60,000 กว่าแผ่น จึงมิใช่เป็นการเพิ่มเติมพยานตามสมควรแล้ว แต่กลับเป็นการเพิ่มเติมพยานหลักฐาน โดยไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

โดยรัฐบาลปัจจุบันได้ใช้อำนาจฝ่ายบริหารราวกับเป็นฝ่ายตุลาการเสียเองด้วยการออกคำสั่ง ทางปกครองสั่งให้ดิฉันชดใช้ค่าเสียหายถึง 35,000 แต่เพียงผู้เดียว ใช้อำนาจของ พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 โดยมิชอบและไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับดังกล่าว และเมื่อวันอังคารที่ 18 กรกฎาคม ที่ผ่านมาได้ใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44 สั่งให้กรมบังคับคดียึดและถอนเงินในบัญชีธนาคารของดิฉันไปหมดแล้วถือเป็นการชี้นำสังคมให้เข้าใจดิฉันผิดเสมือนชี้นำคดีอย่างไม่เป็นธรรม

 

และดิฉันเชื่อว่าไม่มีใครที่ดำเนินนโยบายสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประเทศ แล้วถูกกระทำเช่นนี้มาก่อนต้องถูกยึดทรัพย์ก่อน ทั้ง ๆ ที่คดีอาญายังไม่ได้ตัดสินซึ่งขัดกับหลักยุติธรรมสากลและรัฐธรรมนูญฯ2560 มาตรา 29 ที่ระบุว่าในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้

 

ดิฉันว่าคงไม่มีใครที่ต้องรับชะตากรรมที่หนักหนาและไม่เป็นธรรมมากเท่ากับดิฉันอีกแล้ว และคงไม่มีผู้นำคนใดที่จะกล้านำนโยบายมาดำเนินการเพื่อประชาชนอีกต่อไปค่ะ

 

เรื่องที่ 2.นโยบายจำนำข้าวนั้น เป็นนโยบายสาธารณะที่เป็นประโยชน์ และดำเนินการตามกฎหมาย โดยโครงการรับจำนำข้าว ครม.เห็นว่าเป็นโครงการที่ดีมีประโยชน์ และมีหลักการทางเศรษฐศาสตร์รองรับ การกำหนดนโยบายเป็นการดำเนินการต่อยอดโครงการรับจำนำข้าวในอดีต ที่ดำเนินการมาแล้วกว่า 30 ปี การกำหนดราคาข้าวเปลือกเจ้า ที่ราคา 15,000 บาท ที่ความชื้นไม่เกิน 15 % คณะรัฐมนตรีมีเจตนาดำเนินโครงการ เพื่อทำให้ราคาข้าวเปลือกในตลาดสูงขึ้น และแก้ปัญหาหนี้สินของชาวนา ที่เรื้อรังยาวนานมาหลายสิบปี จึงมิใช่การดำเนินนโยบายเพื่อให้เป็นประโยชน์กับผู้ใดผู้หนึ่งตามที่กล่าวหาแต่เป็นการยกระดับรายได้ของชาวนาจำนวนกว่า 15 ล้านคน หรือกว่า 23% ของประชากรทั้งประเทศให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ ด้วยรายได้ที่เทียบเคียงกับค่าแรงขั้นต่ำ300 บาท เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตด้วยเม็ดเงินที่หมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง และโครงการรับจำนำข้าวได้ถูกพิสูจน์อย่างเป็นรูปธรรมว่ามีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจทั้งในระดับรากหญ้าและระดับมหภาคมิได้ทำให้เกิดความเสียหาย

 

ดิฉันขอยืนยันว่าไม่ใช่เป็นการกำหนดนโยบายที่ผิดพลาด และเกิดความเสียหายตามที่โจทก์กล่าวหาแต่อย่างใด เพราะรัฐบาลไม่ได้มุ่งหวังกำไรกับชาวนา แต่เป็นการดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ตราบใดที่ประชากรยังมีความยากจน จึงเป็นหน้าที่ของทุกรัฐบาลที่จะต้องดูแล ซึ่งไม่ต่างกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่น ก็ยังต้องมีนโยบายหรือมาตรการในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และเป็นการดำเนินการตามนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา อันมีผลผูกพันให้ต้องปฏิบัติตามตามรัฐธรรมนูญ ฯ 2550 มาตรา 75 มาตรา 176 และมาตรา 178 กับเป็นการดำเนินการตามแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2555 ถึง 2558 ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบและกฎหมายมีสภาพบังคับให้ดิฉันและคณะรัฐมนตรีต้องปฏิบัติตาม

 

3.ดิฉันไม่ได้เพิกเฉย ละเลย และไม่มีอำนาจระงับยับยั้งโครงการตามอำเภอใจ กระบวนการ ขั้นตอน และวิธีการบริหารนโยบายรับจำนำข้าวเป็นไปตามรัฐธรรมนูญกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรี การดำเนินโครงการเมื่อเป็นการดำเนินการตามนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา ดิฉันในฐานะนายกรัฐมนตรีผู้กำกับดูแลให้มีการปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบายไม่อาจดำเนินการหรือสั่งการได้โดยลำพัง จึงได้กำหนดมาตรการ หลักเกณฑ์ และวิธีการ ในการดำเนินการในรูปแบบคณะกรรมการเพื่อ ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมรับผิดชอบ และถ่วงดุลซึ่งกันและกัน

 

เพราะการดำเนินโครงการ มีความเกี่ยวข้องกับกระทรวง กรม ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจต่างๆ จำนวนมาก อีกทั้งเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย ข้อบังคับ และระเบียบที่มีอยู่หลายฉบับ ที่ดิฉันเองในฐานะนายกรัฐมนตรีไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้โดยลำพังซึ่งได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการ กขช. และคณะอนุกรรมการต่าง ๆ โดยเฉพาะงานแต่ละด้าน กว่า 13 คณะ และหน่วยงานปฏิบัติอย่างระดับกระทรวง กรม ล้วนไม่เคยมีข้อท้วงติงหรือให้ยุติหรือระงับยับยั้งโครงการ

 

ดิฉันได้แสดงเจตนาอย่างชัดแจ้งด้วยการกำหนดให้มีแนวทางในการป้องกันการทุจริต และป้องกันความเสียหายที่ดิฉันได้ให้นโยบายและสั่งการในที่ประชุม กขช. ครั้งแรก ก่อนเริ่มดำเนินโครงการให้กับคณะทำงานและฝ่ายปฏิบัติว่า ให้เคร่งครัดในเรื่องกระบวนการของข้าวให้เกิดความสุจริต โปร่งใส และสั่งการให้มีการบูรณาการและปรับปรุงระบบกระบวนการรับจำนำข้าวให้เกิดความสุจริตและโปร่งใส นำความชอบธรรมและความชัดเจนกับทุกหน่วยงาน และเน้นย้ำว่าการดำเนินงานในส่วนที่ผ่านมามีสิ่งใดคงค้างให้นำมาปรับปรุงและแก้ไขให้เสร็จสิ้น ให้มีการดูแลในเรื่องการทุจริตไม่ให้เกิดขึ้น ซึ่งศาลที่เคารพสามารถตรวจสอบได้จากรายงานการประชุม กขช. ครั้งที่ 1/2554

 

โครงการดังกล่าวจึงไม่สามารถที่จะยกเลิก และเปลี่ยนแปลงได้ตามอำเภอใจในลักษณะที่นึกจะทำก็ทำหรือนึกจะเลิกก็เลิก ซึ่งการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว ดิฉันก็ได้ให้นโยบายและมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯ เป็นเจ้าภาพในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการ แต่เรื่องนี้โจทก์เข้าใจผิดว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจเต็มในมือคนๆ เดียว และจะใช้อำนาจอย่างไรก็ได้

 

ดิฉันขอเรียนว่าแม้เป็นนายกรัฐมนตรีแต่ในการปฏิบัติงาน กระทรวงและส่วนราชการที่ปฏิบัติงานร่วมกับคณะกรรมการ กขช. และคณะอนุกรรมการต่าง ๆ มีหน้าที่ความรับผิดชอบตามกฎหมายของแต่ละฝ่ายกำกับไว้อยู่แล้วดิฉันจึงไม่สามารถใช้อำนาจตามอำเภอใจ และไม่อาจกระทำการใด ๆ ที่จะไปล้วงลูกสั่งการ หรือชี้นำในระดับปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ของผู้หนึ่งผู้ใด แม้กระทั่งผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จอย่างนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันก็คงเข้าใจถึงข้อจำกัดนี้ดี จึงต้องการอำนาจพิเศษ คือ มาตรา 44 ในการสั่งงาน บริหารราชการแผ่นดินที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างรัฐบาลของดิฉันไม่สามารถทำได้

 

4.การไม่ระงับยับยั้งโครงการ เนื่องจากโครงการมีประโยชน์ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายตามฟ้อง

 

การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแต่โครงการมีความคุ้มค่าไม่เป็นภาระต่องบประมาณที่เกินสมควรหรือเป็นปัญหาต่อหนี้สาธารณะตามที่กฎหมายกำหนด จึงไม่เสียวินัยการเงินและการคลังของประเทศจนกระทั่งต้องระงับหรือยุติโครงการ โดยเมื่อเดือน มิ.ย. 2556 คณะกรรมการ กขช. รายงานถึงประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของโครงการรับจำนำข้าวว่า ฤดูกาลผลิต 2554/55 และฤดูกาลผลิต 2555 มีตัวเลขรวม 394,788 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าตัวเลขที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ อ้างว่าขาดทุนทางบัญชี 220,969 ล้านบาท อยู่ที่ 173,819 ล้านบาท

 

และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ก็ยังรายงานยืนยันว่าโครงการสามารถสร้างรายได้ให้แก่ชาวนาเพิ่มขึ้น และระบุว่า มีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการรับจำนำข้าวจนถึงปี 2558 ซึ่งประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการปรับตัวและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้เข้มแข็งเพียงพอ นอกจากนี้ ปรากฏหลักฐานสำคัญจากคำเบิกความของนางสาวสุภา ปิยะจิตติ พยานโจทก์ผู้ทำหน้าที่จัดทำรายงานดังกล่าวรับต่อศาลว่า

“ผลประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจที่ไม่เป็นตัวเงิน และผลประโยชน์ที่เป็นทางอ้อมไม่ใช่หน้าที่ของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีแต่เป็นหน้าที่ของสภาพัฒน์” ซึ่งสภาพัฒน์ก็มีความเห็นเสนอต่อดิฉันและคณะรัฐมนตรีว่าโครงการสามารถทำให้ชาวนามีรายได้ที่สูงขึ้น และมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการจนถึงปี 2558 ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว และนางสาว ศิรสา กันต์พิทยา เจ้าหน้าที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง พยานโจทก์ที่ให้การในชั้น ป.ป.ช. และเบิกความในชั้นศาล ยืนยันว่า “การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวตลอด 5 ฤดูกาลผลิตเป็นไปตามกรอบที่กฎหมายบัญญัติและกรอบเพดานหนี้สาธารณะ” รวมทั้งเอกสารแผนการบริหารหนี้สาธารณะที่คำนวณสัดส่วนหนี้สาธารณะ ต่อ GDP และสัดส่วนภาระหนี้ต่องบประมาณ ว่าเป็นไปตามกรอบความยั่งยืนทางการคลังอย่างเข้มงวด อีกทั้ง นายสุพัฒน์ เอี้ยวฉาย ผู้ช่วยผู้จัดการ ธ.ก.ส. ฝ่ายนโยบายรัฐพยานโจทก์ซึ่งรับผิดชอบโดยตรงได้เบิกความยืนยันต่อศาลว่าในส่วนเงินทุน ธ.ก.ส. จำนวน 90,000 ล้านบาท ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีทุกประการ

 

5 .ดิฉันไม่ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลใดหรือโดยทุจริตตามมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญาหรือ มาตรา 123/1 พ.ร.บ. ป.ป.ช.ในกรณีที่ ป.ป.ช. และ สตง. มีหนังสือท้วงติงมายังรัฐบาลเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่า 2หน่วยงานดังกล่าวไม่มีภารกิจและหน้าที่ตามกฎหมายที่จะสั่งให้ฝ่ายบริหารยับยั้งการดำเนินนโยบายสาธารณะ ที่ได้แถลงต่อรัฐสภาซึ่งไม่มีกฎหมาย ใด ๆ บังคับให้ฝ่ายบริหารต้องยับยั้งโครงการตามหนังสือของ 2 หน่วยงานดังกล่าว แต่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ดิฉันไม่เคยละเลยเพิกเฉยในการกำกับและติดตามการปฏิบัติตามนโยบาย

โดยส่งข้อเสนอแนะดังกล่าวให้คณะกรรมการ กขช. คณะอนุกรรมการต่าง ๆ และหน่วยงานปฏิบัติที่เกี่ยวข้องอันเป็นการดำเนินการตามสายบังคับบัญชาตามขั้นตอนการบริหารราชการแผ่นดินแต่ที่ 2 หน่วยงานดังกล่าวนำรายงานวิจัยของ TDRI เกี่ยวกับข้อมูลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวในอดีตและเสนอให้ยกเลิกโครงการรับจำนำข้าว แล้วให้นำนโยบายประกันราคาข้าวมาใช้ดำเนินการนั้น ดิฉันเห็นว่าข้อเสนอแนะดังกล่าวไม่ได้ให้อำนาจดิฉันในฐานะนายกรัฐมนตรียับยั้งโครงการที่ไม่ขัดต่อนโยบายหรือมติคณะรัฐมนตรีไว้

 

และการที่จะให้ดิฉันนำนโยบายประกันราคาข้าวที่เป็นนโยบายของ TDRIและพรรคฝ่ายค้านมาดำเนินการนั้นเป็นเรื่องที่ผิดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายหรือแม้แต่รายงานของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีดิฉันก็ไม่ได้ละเลย ก็ได้ส่งเรื่องให้ กขช. เพราะเห็นว่าคณะอนุกรรมการปิดบัญชีเป็นอนุกรรมการในคณะกรรมการ กขช. และเป็นหน้าที่ของ กขช. ที่จะต้องพิจารณา เพราะมีหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบร่วมพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามขั้นตอนของกฎหมาย อีกทั้ง ครม.ได้ป้องกันความเสียหายโดยฤดูกาลผลิต 2556/57 มีการปรับลดวงเงินรับจำนำจากไม่จำกัด เป็นจำกัดวงเงินการรับจำนำไม่เกินรายละ 500,000 บาท และ 350,000 บาท ตามลำดับและลดราคารับจำนำจาก ตันละ 15,000 บาท เหลือตันละ 13,000 บาท อีกทั้งยึดมั่นตามกรอบเงินทุนหมุนเวียนไม่เกิน 500,000 ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2556

 

6.ดิฉันไม่ได้ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในการระบายข้าว การระบายข้าว เป็นไปตามยุทธศาสตร์การระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาล ซึ่ง ครม. ได้มอบหมายความรับผิดชอบให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และกรมการค้าต่างประเทศไปแล้ว ปรากฏตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 ซึ่ง ครม.ได้ใช้ความระมัดระวัง และใส่ใจเรื่องการระบายข้าวโดยในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 ได้มีมติกำหนดหลักเกณฑ์ และมาตรการในการป้องกันการทุจริตในการระบายข้าวให้เข้มงวดมากขึ้น โดยให้ผู้รับผิดชอบปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ ขั้นตอนและต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของปริมาณการระบายช่วงเวลา และระดับราคาที่เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศด้วย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนั้นได้เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรื่องการระบายข้าวแบบจีทูจี ในวันที่ 25 ถึง 27 พฤศจิกายน 2555

 

ดิฉันขอกราบเรียนว่าเรื่องการระบายข้าว เป็นขั้นตอนการปฏิบัติที่กรมการค้าต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์จะต้องดำเนินการ ซึ่งเป็นวิธีการที่ดำเนินการมา ทุกยุคทุกสมัยตามยุทธศาสตร์การระบายข้าวของแต่ละรัฐบาล ดังนั้น วิธีการระบายข้าว รวมถึงการทำสัญญาทั้งปวง จึงเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของหน่วยงานดังกล่าว

 

ทั้งนี้ เมื่อหน่วยงานปฏิบัติตามขั้นตอนแล้ว รมว.พาณิชย์จะต้องเป็นผู้รายงานผลการระบายข้าวให้ครม.ทราบดังเช่นที่มีการรายงานต่อ ครม.เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2555 แต่กรณีภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

 

ไม่ปรากฏว่ามีการรายงานผลการระบายข้าวให้ดิฉันและ ครม. ทราบแต่ประการใดไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือหลังการปรับ ครม.แล้วก็ตาม ก็ไม่มีการรายงานเรื่องนี้ให้ดิฉันในฐานะนายกรัฐมนตรี และเข้าสู่การรับรู้รับทราบของดิฉันและ ครม. จนกระทั่งดิฉันพ้นจากหน้าที่ความเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อดิฉันไม่ทราบจะถือว่าดิฉันปกปิดการระบายข้าวเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้หนึ่งผู้ใดตามที่โจทก์กล่าวหาได้อย่างไร ซึ่งไม่ได้ต่างจากที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้พูดกับสื่อมวลชน เมื่อมีข้อกล่าวหาในเรื่องการระบายข้าวว่า แม้ว่าตนจะเป็นประธาน นบข. แต่ก็มีอนุกรรมการ มีการกำหนดกติกาต่าง ๆ ไว้แล้ว

 

ดิฉันไม่ได้มีเจตนาพิเศษ ที่จะปกปิดข้อมูลในการระบายข้าวแบบจีทูจี และเป็นการแสดงว่า ดิฉันมิได้สมยอม ให้ผู้ใดกระทำการทุจริตในการระบายข้าว หรือมีการกระทำที่ปกป้องผู้หนึ่งผู้ใด ตามข้อกล่าวหาของโจทก์ เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ คือ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล เข้าปฏิบัติหน้าที่ ได้ดำเนินการตามข้อสั่งการของดิฉัน และมติคณะรัฐมนตรีตามที่กล่าวมาอย่างเข้มงวด

 

อาทิ เข้มงวดในการทำสัญญาซื้อขายแบบจีทูจีมากขึ้น โดยปฏิเสธการระบายข้าวแบบจีทูจีกับรัฐวิสาหกิจ ซึ่งรัฐบาลมณฑลไม่ได้ถือหุ้น 100%และปรับกลยุทธ์ในการระบายข้าว โดยเพิ่มช่องทางระบายข้าว และให้มีการประมูลข้าวภายในประเทศมากขึ้น นอกเหนือจากการระบายข้าวแบบจีทูจี รวมทั้งดิฉันได้สั่งการให้รมว.พาณิชย์ และ รมว.คลัง รวมทั้ง รมช.คลัง กำหนดแนวทางการตรวจสอบการระบายข้าว ทั้งข้าวสารที่ส่งออก ณ ท่าเรือ และปริมาณข้าว ที่ประมูลเพื่อส่งขายร้านขายปลีก ดิฉันจึงได้ใช้อำนาจและดุลพินิจและความระมัดระวัง เอาใจใส่ในเรื่องต่าง ๆ ตามที่กล่าวมาข้างต้น บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่มีอยู่ในขณะที่ดิฉันยังปฏิบัติหน้าที่อยู่นั้น

 

ดิฉันรู้ดีว่า ดิฉันเป็นเหยื่อของเกมการเมืองที่ลึกซึ้ง ดิฉันจึงหวังพึ่งศาลสถิตยุติธรรม ได้โปรดพิจารณาบนพื้นฐานข้อเท็จจริง และสภาวะแวดล้อม ในขณะที่ดิฉันปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่การตั้งสมมติฐาน ที่ใช้สภาวะแวดล้อมของปัจจุบันที่เปลี่ยนไปแล้ว มาตัดสินการดำเนินการ ของดิฉันในอดีต

ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิด แต่สิ่งที่ดิฉันทำ คือ การใช้ประสบการณ์ของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่เกิดในต่างจังหวัด มีโอกาสได้รับรู้ สัมผัสความทุกข์ยากแสนสาหัสของชาวไร่ชาวนา ซึ่งประเทศนี้เคยเรียกพวกเขาว่า เป็นกระดูกสันหลังของชาติ และเรียกร้องให้คนไทยทุกคน เกื้อหนุนดูแล และดิฉันก็ได้ทำแล้วในโครงการรับจำนำข้าว เป็นผลพิสูจน์อย่างเป็นรูปธรรมแล้วว่า ในช่วงที่มีโครงการรับจำนำข้าว ชาวนามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลูกหลานมีโอกาสเรียนต่อ นับเป็นความภูมิใจในชีวิต ที่ครั้งหนึ่ง

 

ดิฉันได้มีโอกาสผลักดันนโยบายนี้ ให้กับชาวนา แม้การผลักดันนโยบายสาธารณะ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชาวนาครั้งนี้จะทำให้ดิฉันต้องเจ็บปวดก็ตาม ในการที่จะต้องอดทนต่อสู้คดีกับฝ่ายโจทก์ ที่พยายามบิดเบือน และกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม ดิฉันก็จะอดทนมุ่งมั่นต่อไป เพื่อหวังว่ารัฐบาลต่อไปในอนาคต จะได้สามารถนำนโยบายสาธารณะมาสู่ประชาชนพี่น้องเราจะได้ปลดหนี้สิน จะได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกับเขาบ้างค่ะ

 

สุดท้ายนี้ ดิฉันเห็นว่าก่อนที่ศาลจะตัดสินคดีนี้ ดิฉันใคร่ขอวิงวอนศาลได้โปรดพิจารณา พิพากษาคดีนี้ตามข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและพยานหลักฐานที่เข้าสู่สำนวนโดยชอบและโดยสุจริต ไม่รับฟังการชี้นำจากฝ่ายใด ๆ

 

แม้แต่หัวหน้า คสช. ผู้กุมชะตาและอำนาจรัฐ ที่พูดชี้นำคนในสังคมเกี่ยวกับคดีของดิฉัน เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา ว่า ถ้าเรื่องนี้ไม่ผิดแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาได้อย่างไร ซึ่งคำพูดนี้ เป็นการชี้นำ เสมือนหนึ่งว่า มีการกระทำความผิดแล้ว

 

ทั้ง ๆ ที่ศาลที่เคารพ ยังไม่ได้ตัดสิน ดิฉันเชื่อในคำกล่าวที่ว่า ศาลเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน ดิฉันจึงขอความเมตตาต่อศาล ได้โปรดพิจารณา พิพากษา ยกฟ้องโจทก์ด้วย”